นักวิทยาศาสตร์เผย! แหล่งสะสมเชื้อโรคในบ้านที่มากกว่าฟองน้ำล้านจาน?
มีเครื่องใช้ต่างๆ ภายในบ้านมากมายที่ถือเป็นแหล่งสะสมของแบคทีเรียชั้นดี ไม่ว่าจะเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์โน้ตบุ้ค, รีโมททีวี ท่อระบายน้ำในห้องน้ำ หรือแม้แต่ปลอกหมอนของเราเองก็ตาม แล้วคุณคิดว่าอะไรคือสิ่งที่มีเชื้อโรคมากที่สุดในบ้าน? ถ้าหากคุณคิดว่าฟองน้ำล้างจานคือสิ่งที่มีเชื้อโรคมากที่สุดล่ะก็ ในทางวิทยาศาสตร์ถือว่าคุณคิดถูกต้องแล้ว
ผลการศึกษาจากมหาวิทยาลัยอริโซน่าและเอ็น เอส เอฟ อินเตอร์เนชั่นแนลระบุว่า ฟองน้ำที่ทำหน้าที่ล้างสิ่งสกปรกในห้องครัวจัดเป็นแหล่งที่อยู่ชั้นดีของเหล่าแบคทีเรียและเชื้อโรคร้ายต่างๆ แต่ถึงกระนั้นนั่นยังไม่ใช่แหล่งที่อยู่ของแบคทีเรียที่มากที่สุด มันยังมีสิ่งที่เหนือกว่านั้น
ร็อบ ดันน์ นักชีววิทยาจากมหาวิทยาลัยนอร์ท แคโรไลน่า สเตท ได้ทำการวิเคราะห์ฝุ่นของบ้านตัวอย่างเป็นจำนวน 1,200 หลัง เขากล่าวกับฮัฟโพสต์ว่า แม้ฟองน้ำล้างจานจะเป็นสิ่งที่มีแบคทีเรียสะสมเยอะ แต่ลองมองดูสิ่งอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นอาหาร ห้องน้ำ อวัยวะต่างๆ หรือแม้กระทั่งอากาศที่เราสูดหายใจกันเข้าไปก็ล้วนแล้วแต่มีแบคทีเรียทั้งสิ้น
"คุณนั่นแหล่ะ คือแหล่งสะสมของแบคทีเรียชั้นดีที่สุดภายในบ้าน หากเปรียบเทียบระหว่างผิวหนังหรือภายในร่างกายแล้วล่ะก็ ฟองน้ำนั้นดูเด็กๆ ไปเลย" ดันน์กล่าว แต่ถึงอย่างไรก็ตาม เขาบอกว่านี่เป็นเรื่องปกติ อย่าเป็นกังวลมากนัก
ใครเมื่อคุณไม่สามารถจัดการกับเจ้าแบคทีเรียที่อยู่บนร่างกายคุณได้จะทำอย่างไร? ดันน์บอกว่าควรกำจัดสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวก่อน นั่นก็หมายความว่า "ฟองน้ำ" คือตัวเลือกแรกแน่นอน
มีวิธีการต่างๆ มากมายที่ช่วยทำให้ฟองน้ำเหล่านี้ไม่เป็นแหล่งสะสมความแห่งความสกปรกไม่ว่าจะเป็นหากเริ่มมีกลิ่นไม่พึงประสงค์เกิดขึ้นก็ควรทำการเปลี่ยนทันที แยกชนิดการใช้งานออกจากกันระหว่างฟองน้ำที่ไว้สำหรับล้างเศษอาหารกับไว้สำหรับล้างของที่สกปรกน้อย หรือเปลี่ยนเป็นฟองน้ำแบบใยสังเคราะห์
ฟองน้ำเซลลูโลสถูกสร้างขึ้นโดยมีส่วนผสมทางธรรมชาติอย่างกระดาษจากต้นไม้ และเมื่อน้ำได้เจอกับเชื้อแบคทีเรีย เจ้าเชื้อร้ายตัวนี้ก็จะค่อยๆ กินเยื่อกระดาษนี้ไปจนหมด อิริคิ ฟิลลิปส์ แบรนด์เมเนเจอร์ ได้กล่าวกับ The Huffington Post ว่า “ทำไมคุณถึงจะต้องไปทนกับกลิ่นเชื้อราเหล่านั้นด้วย” และนั่นก็ถือเป็นวิธีการเล็กๆ น้อยๆ ในการที่จะกำจัดเชื้อแบคทีเรียร้ายออกไปจากฟองน้ำ
แล้วถ้าเป็นร่างกายของเราล่ะ? ก็ให้ลองคิดเสียว่ามันคือส่วนหนึ่งของร่างกายไปก็แล้วกัน ช่างมันเถอะ
แหล่งที่มา : www.huffingtonpost.com