เรื่องล่าสุด

9 สุดยอดเรื่อง “หลอน” บนเรือ (ภาคสอง)

สำหรับใครที่ยังไม่ได้อ่าน 9 สุดยอดเรื่อง "หลอน" บนเรือ (ภาคแรก) เราขอแนะนำให้คุณไปอ่านได้ตามลิ้งค์นี้ www.meepanda.com เพราะเรื่องราวหลอนๆ ของเรือทั้งหลายไม่ได้มีเพียงเท่านี้ ส่วนใครที่ได้อ่านภาคแรกแล้วและติดตามมาจนถึงภาคสอง ก็ขอให้เพลิดเพลินกับความลี้ลับที่เหลือซึ่งถูกซ่อนไว้อยู่กลางทะเลตลอดกาล

 

6. เรือใบร้างที่เกยตื้น ณ รัฐนอร์ท แคโรไลนา

a99534_HSH0172

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

ในเช้าวันจันทร์ ที่ 31 มกราคม 2464 เรือใบสวยงามขนาดใหญ่ ซึ่งประกอบด้วยกระโดงเรือถึง 5 เสา ที่มีชื่อว่า Carroll A. Deering ถูกพบเกยตื้นอยู่บริเวณแหลม Hatteras Diamond Shoals ในรัฐนอร์ท แคโรไลนา

ทั้งนี้ เรือลำดังกล่าวถูกทิ้งร้างโดยปราศจากวี่แววของลูกเรือทั้ง 11 คน ซึ่งในขณะที่เรือถูกพบนั้น เรืออยู่ในสภาพที่ใบเรือถูกกางออกและปรากฎร่องรอยของการทำอาหารอยู่ในครัว อย่างไรก็ตาม ของใช้ส่วนตัวของลูกเรือพร้อมด้วยเครื่องมือนำทาง สมุดปูมเรือ และแพชูชีพกลับหายไป

ซากปรักหักพังจากการถูกโจมตีของเรือ Deering นั้น เป็นสิ่งที่หลงเหลืออยู่เพียงสิ่งเดียวที่บ่งบอกถึงการเดินทางอันเป็นปริศนาของเรือลำดังกล่าว จนกระทั่งในเดือนมีนาคม 2464 หลังจากที่เรือซึ่งเกยตื้นอยู่เกิดพังลง มันจึงถูกลากออกไปกลางทะเลและระเบิดทิ้งเสีย โดยหนึ่งเดือนให้หลังจากเหตุการณ์ระเบิดเรือดังกล่าว นาย Christopher Columbus Gray ผู้ซึ่งอาศัยอยู่ ณ เมือง Buxton รัฐนอร์ท แคโรไลนา แจ้งว่าเขาได้พบขวดบรรจุจดหมายที่ระบุว่าเรือ Deering ถูกโจมตีจากโจรสลัด ทั้งนี้ ในตอนแรกบรรดาผู้เชี่ยวชาญด้านลายมือต่างลงความเห็นว่าจดหมายฉบับดังกล่าวถูกเขียนขึ้นโดยหนึ่งในลูกเรือ แต่อย่างไรก็ตาม ในท้ายที่สุดแล้วกลับได้ข้อสรุปว่านาย Gray เป็นคนเขียนจดหมายฉบับนั้นขึ้นมาเอง

ถึงแม้เอฟบีไอจะได้ทำการสืบสวนสอบสวนอย่างหนักเกี่ยวกับความเป็นไปได้ในการหายตัวไปของบรรดาลูกเรือบนเรือ Deering แต่ก็ไม่พบคำตอบ ทิ้งให้เรื่องราวดังกล่าวยังคงเป็นปริศนาอันลี้ลับจวบจนถึงทุกวันนี้

 

7. นักเดินเรือผู้ไร้ประสบการณ์ที่ต้องทนทุกข์ทรมานกลางทะเล

a99534_donald-crowhurst-in-una-scena-del-documentario-deep-water-la-folle-regata-930411-640x433

ในปี 2511 เมื่อหนังสือพิมพ์ เดอะ ซันเดย์ ไทม์ ของลอนดอน ได้ประกาศว่าตนเป็นผู้ให้การสนับสนุนการแข่งขันเดินเรือรอบโลกโดยไม่มีการหยุดพักเป็นครั้งแรกนั้น ถือเป็นการเปิดศักราชใหม่ของการแข่งเรือซึ่งไม่มีผู้ใดเคยทำได้มาก่อน ความตื่นเต้นท้าทายของการที่จะได้ชื่อว่าเป็นคนแรกที่เดินเรือข้ามมหาสมุทรโดยไม่มีการหยุดพักนั้น ได้นำพาเหล่ากะลาสีเรือผู้โด่งดังแห่งยุครวมถึงบรรดานักล่าฝันผู้ชื่นชอบการผจญภัยทั้งหลายให้เข้าร่วมการแข่งขันในครั้งนี้ ซึ่งโชคไม่ค่อยดีนักที่ Donald Crowhurst กับเรือ Teignmouth Electron ของเขา ก็เป็นหนึ่งในบรรดานักล่าฝันดังกล่าวเช่นกัน

Crowhurst หาผู้ที่จะให้การสนับสนุนเขาในการเข้าร่วมแข่งขันครั้งนี้ได้สำเร็จ โดยมีข้อแม้ว่าหากเขาไม่สามารถทำความเร็วได้ตามเป้าในระหว่างแข่งขันหรือล้มเลิกเร็วเกินไป เขาต้องชดใช้ด้วยการขายทรัพย์สินทุกอย่างที่เขามี Crowhurst เริ่มต้นการแข่งขันด้วยความคาดหวังอันสูงส่ง แต่แล้วโชคชะตากลับเล่นตลกเมื่อเขาแล่นเรือออกห่างจากชายฝั่งแล้วตระหนักได้ว่าทั้งตัวเขาเองและเรือไม่แข็งแรงพอที่จะจบการแข่งขันสุดโหดนี้ได้ เมื่อต้องตัดสินใจเลือกระหว่างการที่เขาและครอบครัวจะต้องล้มละลายหรือการที่เขาจะต้องถึงแก่ความตาย Crowhurst ก็ค้นพบวิธีแก้ปัญหา เขาตัดสินใจที่จะโกงการแข่งขันด้วยการสร้างตำแหน่งที่เรือของเขาแล่นผ่านขึ้นมาเอง ทั้งที่ความจริงแล้วเรือของเขาจอดลอยลำอยู่กลางมหาสมุตรแอตแลนติก หลังจากนั้นก็กลับเข้าร่วมการแข่งขันเมื่อฝูงเรือแล่นมาถึงจุดเริ่มต้นอีกครั้ง และจบการแข่งขันด้วยลำดับที่ 3 หรือที่ 4 ซึ่งถึงแม้เขาจะไม่ได้เงินรางวัลแต่เขาก็จะไม่ต้องล้มละลายเช่นกัน

หลังจากลอยลำอยู่กลางทะเลเพียงลำพังเป็นเวลาหลายเดือน Crowhurst ก็ต้องทนทรมานกับสภาพจิตใจที่ย่ำแย่ลงเรื่อยๆ และเมื่อเขาได้ทราบข่าวจากวิทยุบนเรือว่าเหลือเรือของผู้เข้าแข่งขันเพียงแค่สองลำและเรือลำที่สองได้อัปปางลงในขณะที่กำลังมุ่งหน้าไปยังทางเหนือ เขาก็ตระหนักได้ว่าเขาจะต้องถูกจับได้ว่าโกงการแข่งขันอย่างแน่นอน และแล้ววิทยุสื่อสารของเรือ Teignmouth Electron ก็เงียบหายไป ต่อมาเมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2512 เรือขนส่งสินค้าได้พบเรือลำดังกล่าวถูกทิ้งร้างอยู่กลางมหาสมุทร โดย Crowhurst ได้ตัดสินใจปลิดชีพตัวเองแทนที่จะแล่นเรือกลับเข้าฝั่ง

 

8. เรื่องเล่าเกี่ยวกับเรือผีที่ยาวนานถึง 140 ปี

a99534_the_true_story_of_marie_celeste_27ED7D4B-9EFD-380F-6BCE7E335FB779CE

เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2415 เรือ Mary Celeste ซึ่งบรรทุกแอลกอฮอล์ดิบได้เดินทางออกจากนิวยอร์คมุ่งหน้าไปยังเมืองเจนัว โดยในเรือลำดังกล่าวประกอบด้วยลูกเรือ 7 คน รวมทั้งกัปตัน Benjamin Briggs ภรรยา และลูกสาวอายุ 2 ขวบ หนึ่งเดือนต่อมา เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม  เรือสัญชาติอังกฤษได้แล่นมาพบกับเรือ Mary Celeste ซึ่งกำลังแล่นเต็มกำลังอยู่บริเวณ 400 ไมล์ทะเลไปทางตะวันออกของหมู่เกาะอะโซร์ส โดยปราศจากวี่แววของกัปตัน ครอบครัวของเขาและลูกเรือ ทั้งนี้ นอกเหนือไปจากน้ำที่ท่วมในเรือเพียงไม่กี่ฟุตและแพชูชีพที่หายไป เรือลำดังกล่าวก็ไม่ปรากฎว่าได้รับความเสียหายแต่อย่างใด ทั้งยังมีอาหารและน้ำดื่มมากพอสำหรับการดำรงชีวิตได้ถึง 6 เดือน

เป็นเวลายาวนานถึง 135 ปี ที่ทฤษฎีต่างๆ ถูกนำมากล่าวอ้างเกี่ยวกับการหายตัวไปของผู้คนบนเรือ ตั้งแต่การก่อกบฏบนเรือ การถูกโจมตีโดยโจรสลัด ไปจนถึงการเกิดระเบิดของแอลกอฮอล์ดิบปริมาณ 1,700 บาเรล ที่เรือได้ทำการบรรทุก อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าในปี 2550 เอกสารที่มีชื่อว่า The True Story of the Mary Celeste ซึ่งเป็นเอกสารการสอบสวนที่ได้บันทึกลำดับเหตุการณ์เกี่ยวกับเรือลำดังกล่าวนั้นจะไม่ได้แสดงให้เห็นถึงข้อสรุปของเหตุการณ์ แต่ก็ได้แสดงให้เห็นว่านาฬิกากล(โครโนมิเตอร์)ที่มีความคลาดเคลื่อน ทะเลที่ไม่สงบ และปั๊มน้ำบนเรือที่เกิดอุดตัน อาจนำไปสู่การที่กัปตัน Briggs ได้สั่งสละเรือทันทีที่มองเห็นฝั่งในวันที่ 25 พฤศจิกายน 2415 ก็เป็นได้

 

9. การเดินเรือโดยข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกโดยลำพังของศิลปิน เป็นหนึ่งในผลงานศิลปะของเขาหรือเป็นหนทางในการฆ่าตัวตาย

a99534_bja

เมื่อวันที่ 9 กรกฏาคม 2518 ศิลปินชาวดัตช์วัย 33 ปี ที่มีชื่อว่า Bas Jan Ader ได้บอกลาภรรยาของเขาก่อนจะออกเดินเรือจากแหลมค็อดข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกเพียงลำพัง

เขาตั้งใจให้การเดินทางครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของการแสดงผลงานของเขาที่แบ่งออกเป็นสามส่วน และให้ชื่อว่า In Search of the Miraculous โดยก่อนที่จะออกเดินเรือเขาได้จัดให้คณะนักเรียนร้องประสานเสียงทำการร้องเพลงโฟล์คของชาวประมงรอบเปียโนที่จัดแสดงในแกลลอรี่ที่นครลอสแอลเจลิสซึ่งเป็นการแสดงในส่วนที่หนึ่ง ทั้งนี้ การเดินเรือดังกล่าวถูกจัดให้เป็นส่วนที่สองของการแสดงผลงาน และสำหรับส่วนที่สามของผลงานนั้น Ader ได้วางแผนที่จะจัดให้มีการร้องเพลงไปพร้อมกับการนำเรือเข้าเทียบท่าที่เมือง Falmouth ใน 8-10 สัปดาห์ให้หลัง

อย่างไรก็ตาม หลังจากออกเดินทางได้สามสัปดาห์ เรือของ Ader ก็ได้ขาดการติดต่อ โดยเขาถูกพบล่าสุดอยู่บริเวณใกล้กับหมู่เกาะอะโซร์สและหลังจากนั้นก็ไม่มีใครพบเห็นเขาอีกเลย ทั้งนี้ ไม่มีใครรู้ว่า Ader ถึงแก่ความตายเพราะคลื่นทะเลที่บ้าคลั่ง หรือเสียสติจนกระโดดลงน้ำไป หรือเขาตั้งใจที่จะทำการฆ่าตัวตายมาตั้งแต่แรก

โดยเรือของเขาที่มีชื่อว่า the Ocean Wave ถูกพบกึ่งลอยกึ่งจมอยู่บริเวณ 150 ไมล์ ไปทางตะวันตก-ตะวันตกเฉียงใต้ของชายฝั่งไอร์แลนด์ในเวลาต่อมา

 

แหล่งที่มา : www.oddee.com